ที่มาภาพ:โรคกระดูกพรุน
1ใน 3 ของผู้หญิงเป็นโรคกระดูกพรุน
1ใน 12 ของผู้ชายเป็นโรคกระดูกพรุ่น
ดังนั้นเราควรมาทำความรู้จักกับโรคกระดูกพรุน รวมไปถึงวิธีการรักษาและป้องกัน เพื่อสุขที่ดีในวันนี้และวันต่อๆไป
เริ่มกันที่่ที่มาของโรคก่อน เคยมีผู้เปรียบเทียบเรื่องแคลเซียมให้เข้าใจอย่างง่ายๆว่า "ระดับแคลเซียมที่ปกติ" ก็คือ "จำนวนเงินที่ติดกระเป๋า"สำหรับใช้จ่ายในแต่ละวัน โดยแคลเซียมส่วนที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ และส่วนที่ใช้เพื่อการซ่อมแซมกระดูกนั้นคือ "ค่าใช้จ่ายในประจำวัน" "แคลเซียมในกระดูก" เสมือนเงินฝากในธนาคาร และแคลเซียมที่ดีรับจากอาหารแต่ละวันนั้น เสมือนรายได้ประจำวันซึ่งหากรายรับมากกว่่ารายจ่าย อาจมีเหลือเก็บในธนาคารซึ่งเปรียบเสมือนการสะสมแคลเซียมในกระดูกแต่ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่ายก็ต้องถอนจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายทำให้เกิดการขาดดุล
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำเงินในธนาคารก็จะร่อยหรอซึ่งก็เปรียบได้กับการที่ร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอจึงต้องละลายแคลเซียมจากกระดูกมาเพิ่มให้กับเลือดทำให้แคลเซียมในกระดูกค่อยๆลดลงและนี่คือสาเหตุหนึ่งของโรคกระดูกพรุน
ผู้ที่ป่วยเป็นโครกระดูกพรุนจะเกิดการสูญเสียเนื้อกระดูกโครงสร้างรังผึ้งภายในเสื่อสลายกระดูกจึงเปราะบางเป็นรูพรุนและเกิดการหักง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทกหรือเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยโดยเฉพาะที่กระดูกสันหลังสะโพกและข้อมือ
นอกจากนี้โรคกระดูกพรุนยังจะส่งผลทำลายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้พบว่า 20% ของผู้กระดูกสะโพกหักจะเกิดโรคแทรกซ้อนและเสียชีวิตภายในหนึ่งปี และ 50% ของผู้ป่วยไม่สามารถกลับมาเคลื่อไหวได้ดังเดิม
แล้วด้วยความที่โรคนี้จะดำเนินไปอย่างเงียบๆโดยไม่มีอาการแสดงให้เห็นจนกว่ากระดูกจะหักแล้วผู้ป่ายถึงจะรู้ตัว หลายคนจึงขนานนามให้กับโรคนี้ว่า "ภัยเงียบ"
แต่โรคกระดูกพรุนก็สามารถป้องกันได้โดย
- กินแคลเซียมให้เพียงพอในแต่ละวัน
- ออกกำลังกายชนิดที่มีน้ำหนักกดลงบนกระดูกเป็นประจำ อาทิ การเดิน วิ่ง หรือเต้นแอโรบิก
- หลีกเลี่ยงการดื่ม ชา กาแฟ น้ำอัดลม
- งดสูบบุหรี่
บทความน่าอ่าน
ที่มาข้อมูล:หนังสือสุขภาพทราบก่อนป่วย ผู้แต่ ดุสิตา สำนักพิมพ์ไพลิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น